รัฐตั้งเป้าพลิก149ล้านไร่สู่ "เกษตรปลอดภัย"

1.3K



“กฤษฎา” ตั้งเป้าหมาย 2 ปี พลิกผืนดิน 149 ล้านไร่ เป็นเกษตรปลอดภัย ลดใช้สารอันตรายในภาคเกษตร

นายกฤษฎา บุญราช รมว.เกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ในวันที่ 4 มี.ค. 2562 กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมวิชาการเกษตร จะแถลงแผนการดำเนินงานที่จะเดินสู่การเป็นเกษตรปลอดภัยในพื้นที่ 149 ล้านไร่ ใน 24 เดือน หรือ 2 ปี ตามที่กระทรวงได้ทำหนังสือแจ้งต่อคณะกรรมการวัตถุอันตรายในการประชุมวันที่4 ก.พ. 2562 โดยจะมีการประชุมทางไกลผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ให้ทราบทั่วประเทศเพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติ โดยหวังว่าเมื่อทุกฝ่ายดำเนินการตามแผนนี้จะทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศผลิตสินค้าเกษตรปลอดภัยตามที่ประกาศนโยบายเป็นครัวของโลก

“เป้าหมายสำคัญคือทำให้พื้นที่การเกษตรของไทยเป็นแปลงที่ได้รับการรับรองเป็นแปลงทำเกษตรที่ดีหรือจีเอพี ซึ่งการเป็นแปลงจีเอพีนั้นจะมีการกำหนดในเรื่องการทำการเกษตรที่ดูแลตั้งแต่ดิน น้ำ การใช้สารเคมีเกษตรที่เหมาะสม จนถึงการเก็บเกี่ยว เพื่อให้ผลผลิตที่ออกมามีมาตรฐานและปลอดภัยต่อผู้บริโภค ทั้งนี้ยอมรับว่ากระทรวงอาจจะไม่สามารถพลิกฟ้าคว่ำดิน ทำให้ 149 ล้านไร่ เป็นจีเอพีได้ในพริบตา จึงต้องกำหนดเป็นแนวปฏิบัติรายจังหวัดออกมา“ นายกฤษฎา กล่าว

ทั้งนี้ รมว.เกษตรฯ ระบุด้วยว่า ได้รายงานการปฏิบัติงานตามมติคณะกรรมการวัตถุอันตรายทั้งหมดแล้ว ขณะนี้เหลือเพียงให้ฝ่ายกฎหมายของคณะกรรมการวัตถุอันตรายส่งหนังสือ 5 ฉบับออกมาเพื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษา เพราะขณะนี้ทางคณะกรรมการขอปรับแก้ถ้อยคำ

น.ส.เสริมสุขสลักเพ็ชร์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า กรมได้วางแนวเพื่อให้ทุกส่วนช่วยกันนำไปปฏิบัติให้ชัดเจนว่าจะมีภารกิจอะไรในแต่ละแผนการทำงาน เชื่อว่าหากทำแล้วภายใน 2 ปี จะสามารถนำไปสู่เป้าหมายของกระทรวงเกษตรฯ ได้อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมากรมสามารถรับรองแปลงเกษตรจีเอพีได้เพียง 7 แสนไร่ ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากอัตรากำลังและงบประมาณ ทำให้ต้องมีการจ้างเอกชนเข้ามาช่วยเหลือ

สำหรับการดำเนินการโครงการดังกล่าวเป็นไปตามที่กระทรวงเกษตรฯได้ประกาศพันธกิจต่อคณะกรรมการวัตถุอันตรายว่าไม่เห็นด้วยกับการใช้สารเคมีการเกษตรที่เป็นอันตรายต่อร่างกายและชีวิตมนุษย์ โดยปัจจุบันเกษตรกร 5.7 ล้านครัวเรือน กว่า 25 ล้านคน พื้นที่การเกษตร 149 ล้านไร่ คุ้นเคยกับการใช้วัตถุอันตรายทั้ง3 ตัว คือ พาราควอต ไกลโฟเซต และคลอร์ไพริฟอส

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่กระทรวงเกษตรฯ ได้เริ่มมาตรการตามมติวันที่ 30 ส.ค. 2561 ในการจำกัดการใช้ ทำให้ลดการนำเข้าในทุกชนิดได้ประมาณ 25-55% ในแต่ละตัว และรวมถึงการจัดอบรมเกษตรกรผู้ใช้ 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก :  www.posttoday.com

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

 

 

sendLINE

Comment