เลสเตอร์ซิตี้ แชมป์พรีเมียร์ ฟันเงินนับหมื่นล้าน
ย้อนกลับไปเมื่อ 6 ปีที่แล้ว “เจ้าสัวดิวตี้ฟรี” วิชัย ศรีวัฒนประภา ประธานกรรมการบริษัท คิงเพาเวอร์ ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจสินค้าปลอดภาษี ได้ตัดสินใจลงทุนซื้อ “สุนัขจิ้งจอก” เลสเตอร์ สโมสรฟุตบอลเล็กๆ ในอังกฤษ เมื่อช่วงเดือนสิงหาคม ปี 2010 และมีการเปลี่ยนสมญานามให้เป็นแบบไทยๆ ว่า “จิ้งจอกสยาม” อีกด้วย แม้จะไม่มีการเปิดเผยเรื่องตัวเลขของการเทกโอเวอร์ในครั้งนั้นอย่างเป็นทาง การ แต่เกจิหลายคนคำนวณว่า น่าจะอยู่ที่ 40 ล้านปอนด์ (ประมาณ 2,000 ล้านบาท) และนั่นคือจุดเริ่มต้นแห่งความสำเร็จของทีมลูกหนังที่มีอายุมานานถึง 132 ปี นับตั้งแต่ก่อตั้งเมื่อปี 1884
ก่อนหน้านี้ เลสเตอร์ เคยวนเวียนอยู่ในลีกล่างๆ อย่าง เดอะแชมเปี้ยนชิพ หรือระดับดิวิชั่น 1 มานานหลายปี นับตั้งแต่ตกชั้นจากลีกสูงสุดของประเทศในศึกพรีเมียร์ลีกเมื่อช่วงหลังจบฤดู กาล 2003/04 แต่ด้วยความมุ่งมั่นของ “เจ้าสัวดิวตี้ฟรี” ที่เข้ามาดูแลสโมสรเมื่อ 6 ปีที่แล้ว และตั้งเป้าหวังนำสโมสรกลับคืนสู่จุดสูงสุดให้ได้อีกครั้ง ทำให้ “จิ้งจอกสยาม” เริ่มพบกับความสำเร็จ จากการผงาดคว้าแชมป์ “เดอะ แชมเปี้ยนชิพ” ฤดูกาล 2013/14 จนได้เลื่อนชั้นกลับคืนสู่ลีกสูงสุดเมืองผู้ดีเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี เมื่อปี 2014/2015 ซึ่งผลงานในปีที่แล้วค่อนข้างกระท่อนกระแท่นต้องดิ้นหนีตกชั้น ก่อนจะมาแก้ตัวในช่วงท้ายๆ รอดจากการตกชั้นได้แบบน่าประทับใจ กระทั่งปีนี้สร้างผลงานได้ดีต่อเนื่อง จนคว้า แชมป์พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้ได้สำเร็จ และเป็นหนแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสรด้วย
ความสำเร็จของ เลสเตอร์ ในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่ คิงเพาเวอร์ เข้ามาเทกโอเวอร์ในปี 2010 ทำให้ “จิ้งจอกสยาม” มีมูลค่าในเรื่องธุรกิจเพิ่มขึ้นตามไปด้วย โดย บลูมเบิร์ก สำนักข่าวชื่อดัง เปิดเผยว่า ตอนนี้ เลสเตอร์ มีมูลค่าของสโมสรอยู่ที่ราวๆ 300 ล้านปอนด์ (ประมาณ 15,318 ล้านบาท) หรือเพิ่มขึ้นเกือบ 8 เท่าตัวจากเมื่อตอนที่ลงทุนซื้อในปี 2010 ด้วยราคาราวๆ 2,000 ล้านบาท ซึ่งแบ่งออกเป็นรายรับจากการดำเนินธุรกิจในส่วนต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องการเซ็นสัญญากับบรรดาผู้สนับสนุนที่ทำเงินได้มากถึง 104 ล้านปอนด์ (ประมาณ 5,310 ล้านบาท), รายรับจากการขายลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดให้พรีเมียร์ลีก 72 ล้านปอนด์ (ประมาณ 3,676 ล้านบาท) และรายได้จากการถ่ายทอดผ่านโทรทัศน์ไปยัง 200 กว่าประเทศทั่วโลกอีก 99 ล้านปอนด์ (ประมาณ 5,550 ล้านบาท)
หลังจากคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2015/16 ได้สำเร็จ ทำให้ เลสเตอร์ ซึ่งได้รับเงินรางวัลในฐานะแชมป์ 90 ล้านปอนด์ (4,595 ล้านบาท) แน่นอนแล้ว ยังมีโอกาสทำกำไรในผลประกอบการของสโมสรประจำปีนี้ได้อีกไม่ต่ำกว่า 26 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,327 ล้านบาท) หรือเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วอย่างน้อย 30% และจะมีกำไรในช่วงหลังจากหักค่าใช้จ่ายต่างๆ แล้วเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน หลังจากที่ประสบปัญหาขาดทุนมานานหลายปี โดยรวมแล้วปีนี้เลสเตอร์น่าจะมีรายได้รวมมากกว่า 150 ล้านปอนด์ หรือ 7,659 ล้านบาท
นอกจากนี้ “จิ้งจอกสยาม” ยังมีโอกาสติดยอดความสำเร็จจากการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกอีกด้วย เพราะจะได้สิทธิ์ไปโชว์ฝีเท้าในศึกฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรยุโรป ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ในช่วงฤดูกาลหน้า ซึ่งคาดว่าจะได้รับทรัพย์จากการเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลสโมสรยุโรปรายการ ใหญ่ที่สุดของทวีปเป็นเงินอีกมหาศาล
โดย รีปูคอม บริษัทด้านการวิจัยการตลาดกีฬาโลก เปิดเผยว่า เลสเตอร์ จะมีรายได้จากค่าส่วนแบ่งต่างๆ ที่จะได้รับในช่วงฤดูกาลหน้าเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย โดยจะแบ่งออกเป็นเงินรางวัลจากศึกพรีเมียร์ลีก และรายได้จากการลงเล่นในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ซึ่งคาดว่าจะได้รับส่วนแบ่งจากการลงแข่งทั้ง 2 รายการ เป็นเงินอย่างน้อย 32 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,633 ล้านบาท) รวมถึงรายได้จากการจำหน่ายตั๋วเข้าชมเกมในแต่ละนัด ที่คาดว่าจะได้เงินเพิ่มอีกเกมละ 3.5 ล้านปอนด์ (ประมาณ 175 ล้านบาท) และรายได้จากการขายของที่ระลึกที่จะเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย
ส่วนอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ เลสเตอร์ มีรายได้เพิ่มขึ้น ก็คือ มูลค่าของสโมสรที่สูงขึ้น ซึ่งจะทำให้สโมสรได้รับผลประโยชน์จากการเซ็นสัญญากับบรรดาสปอนเซอร์ในราคา ที่สูงกว่าเดิมอย่างแน่นอน รวมถึงฐานแฟนบอลทั่วโลกที่จะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย ทว่า “จิ้งจอกสยาม” ไม่ได้วางเป้าหมายเพียงแค่ระยะสั้น แต่ต้องการจะยืนหยัดอยู่ในพรีเมียร์ลีกแบบยั่งยืน และในอนาคตจะมีโครงการขยายจำนวนที่นั่งในสนาม “คิงเพาเวอร์ สเตเดี้ยม” เพิ่มอีก 1 หมื่นที่นั่ง และจะมีการเปิดร้านขายสินค้าที่ระลึกเพิ่มในประเทศต่างๆ ทั่วโลก เพื่อช่วยต่อยอดให้ เลสเตอร์ เป็นหนึ่งในสโมสรฟุตบอลระดับยักษ์ใหญ่ของอังกฤษในทศวรรษหน้า
พร้อมกันนี้ “จิ้งจอกสยาม” ยังมีมูลค่าของสินทรัพย์อีกด้านหนึ่งเพิ่มขึ้นด้วย นั่นก็คือ ค่าตัวของบรรดานักฟุตบอลในสังกัด โดยเฉพาะ เจมี วาร์ดี กองหน้าทีมชาติอังกฤษ ที่เคยประกอบอาชีพเป็นเพียงเด็กหนุ่มในโรงงาน และถูกซื้อตัวมาร่วมทีมเมื่อปี 2012 ด้วยราคาเพียง 1 ล้านปอนด์ (ประมาณ 50 ล้านบาท) เท่านั้น เช่นเดียวกับ ริยาด มาห์เรซ ปีกทีมชาติแอลจีเรีย ที่ถูกซื้อตัวมาร่วมทีมในปี 2014 ด้วยค่าตัวแค่ 4 แสนปอนด์ (ประมาณ 20 ล้านบาท) แต่ตอนนี้ทั้งคู่น่าจะมีมูลค่าสูงถึง 30 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,500 ล้านบาท) ไปแล้ว
ขณะเดียวกัน บีบีซี สื่อชื่อดังแห่งเมืองผู้ดี คาดการณ์ว่า ตอนนี้มูลค่าของนักฟุตบอลในทีมเลสเตอร์ น่าจะราคารวมกันอยู่ที่ราวๆ 82 ล้านปอนด์ (ประมาณ 4,100 ล้านบาท) ซึ่งมากกว่าในช่วงก่อนเริ่มต้นฤดูกาลนี้ ที่ถูกประเมินเอาไว้ด้วยตัวเลข 25 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,250 ล้านบาท) ซึ่งถือว่าเป็นแชมป์ลีกที่มีมูลค่าทีมน้อยที่สุด หากวัดจากมูลค่าของทีมแชมป์จาก 4 ลีกลูกหนังระดับชั้นนำของยุโรป โดยทีมที่มีมูลค่านักเตะมากที่สุด คือ “เปแอสเช” ปารีส แซงต์ แชร์กแมง แชมป์ลีก เอิง ฝรั่งเศส ที่มีมูลค่ารวม 525 ล้านปอนด์ (ประมาณ 26,250 ล้านบาท)
ส่วนเรื่องความนิยมใน โลกโซเชียลมีเดีย ปรากฏว่า เลสเตอร์มียอดติดตามในช่องทางต่างๆ เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะแฟนเพจในเฟซบุ๊กที่มีผู้ติดตามในฤดูกาลนี้เพิ่มขึ้นกว่า 540% หรือ 5 แสนกว่าราย ส่วนในประเทศไทยมียอดแฟนบอลติดตามแฟนเพจกว่า 2.2 แสนราย ขณะที่ในทวิตเตอร์ที่มียอดผู้ติดตามมากขึ้นกว่า 3 ล้านราย โดยประเทศที่ทำสถิติมีผู้ติดตามมากที่สุด คือ แอลจีเรีย ซึ่งเป็นบ้านเกิดของ มาห์เรซ เจ้าของรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของสมาคมฟุตบอลอาชีพอังกฤษ และคาดว่าในฤดูกาลหน้าจะมียอดขายเสื้อทั่วโลกเพิ่มขึ้นมากกว่า 500%
นอกจากนี้ เลสเตอร์ ยังทำให้วงการพนันฟุตบอลของประเทศอังกฤษต้องสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ เนื่องจากบรรดาบริษัทรับพนันแบบถูกกฎหมายของเมืองผู้ดี ออกราคาลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกประจำฤดูกาล 2015/16 เอาไว้ที่อัตราต่อรอง 5,000-1 หรือ แทง 1 จ่าย 5,000 แบบไม่รวมทุน เพราะเห็นว่าเป็นเพียงทีมเล็กๆ ที่รอดพ้นจากการตกชั้นเมื่อฤดูกาลก่อนได้แบบหวุดหวิด แต่สุดท้าย “จิ้งจอกสยาม” กลับสามารถสร้างเรื่องเหลือเชื่อด้วยการผงาดคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของประเทศได้ แบบพลิกความคาดหมาย
แกรม ชาร์ป โฆษกของวิลเลียม ฮิลล์ บริษัทรับพนันชื่อดังแห่งเกาะอังกฤษ เปิดเผยว่า ทางร้านต้องเตรียมจ่ายเงินกว่า 14 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 490 ล้านบาท) ให้ลูกค้ามากกว่า 20 คน ที่ได้ลงทุนด้วยการวางเงินเดิมพันในช่วงก่อนเริ่มต้นฤดูกาลนี้ว่า เลสเตอร์ จะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ตามอัตราต่อรองดังกล่าวนั่นเอง
ด้าน เดวิด วิลเลียม โฆษกของแลดโบรกส์ บริษัทรับพนันชื่อดังอีกหนึ่งเจ้าของเมืองผู้ดี เปิดเผยว่า ทางร้านต้องเตรียมจ่ายเงินให้ลูกค้าเป็นจำนวนสูงที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์ ของการรับแทงพนันฟุตบอลด้วยเหมือนกัน
ขณะที่ “ต๊อบ” “อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา” รองประธานสโมสร “จิ้งจอกสยาม” เปิดเผยว่า ความสำเร็จที่เกิดขึ้นจะช่วยต่อยอดธุรกิจดิวตี้ฟรีของคิงเพาเวอร์ ได้ด้วย ยกตัวอย่างเช่น แต่ก่อนคนที่รู้จักแบรนด์คิงเพาเวอร์ อาจจะแค่คนไทย หรือคนที่เดินทาง แต่ว่าตอนนี้กลายเป็นคนรู้จักแบรนด์ คิงเพาเวอร์ และประเทศไทยไปพร้อมๆ กันมีเพิ่มมากขึ้น ซึ่งได้รับรู้ผ่านเรื่องราวที่สื่อถึงความเป็นไทยในสนามที่มีการถ่ายทอดทาง ทีวีไปทั่วโลก โดยล่าสุดมีการเปิดเผยสถิติว่า มียอดผู้ชมทีมเลสเตอร์เพิ่มขึ้นมากกว่า 23% โดยเฉพาะคนจีนจะรู้จักเลสเตอร์เพิ่มขึ้น เพราะเป็นกลุ่มแฟนบอลที่ชอบดูฟุตบอลพรีเมียร์ลีกเป็นอย่างมาก
ขณะที่ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการเถลิงแชมป์พรีเมียร์ลีกของเลสเตอร์ว่า ขอแสดงความยินดีกับทีมเลสเตอร์ เพราะถือว่า วันนี้เป็นทีมจิ้งจอกสยาม ดังนั้นกีฬาทุกประเภทที่เป็นของคนไทย หรือคนไทยไปร่วมเล่นด้วยก็ยินดีด้วยทั้งสิ้น เพราะไปในนามของประเทศไทย คนไทยมีชื่อติดไปเป็นสยาม ซึ่งคนไทยเป็นเจ้าของทีมก็เห็นถึงความก้าวหน้า ถือเป็นความพยายาม ตั้งแต่เป็นทีมที่ค่อนข้างจะไม่ประสบความสำเร็จ แต่วันนี้ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว ถือเป็นความพยายาม และน่าจะดีกว่าไปซื้อทีมที่ประสบความสำเร็จแล้วไปขายต่อ ถือว่าดีกว่า
“ผ้ายันต์ของพระพรหมมังคลาจารย์ (เจ้าคุณธงชัย) วัดไตรมิตรวิทยาราม ท่านได้ให้ผมมาหลายอันแล้ว พระท่านให้ผมมาตลอด ผมเป็นคนที่นับถือศาสนาพุทธ ถือเป็นที่พึ่งทางใจ อยากให้พวกเราทุกคนถือเป็นเพียงที่พึ่งทางใจสำหรับผู้ที่นับถือศาสนาพุทธ เพราะทุกศาสนาอย่างน้อยก็ทำคนให้คนเป็นคนดี อะไรที่พระท่านให้มาก็ถือเป็นกำลังใจก็เก็บๆ ไว้ ผมก็เห็นทุกคนที่นับถือศาสนาพุทธห้อยพระกัน แต่ถ้าห้อยไม่ไหวก็ให้นำไปไว้บนหิ้งพระ เพราะหากห้อยทั้งหมดบางครั้งก็เจ็บคอ เพราะหนัก”
ที่มาข่าว: คมชัดลึกออนไลน์ วันที่ 04-05-2559
ที่มาภาพ: soccer.clickon.co, lcfcthai.com, thairath.co.th

Comment
New!

สถาปนิก 68 ทบทวนทิศทาง Past Present Perfect

หากท่านอยู่ในอุตสาหกรรมน้ำมันและปิโตรเคมี ไม่ควรพลาดงานนี้ !! งาน Thailand Oil & Gas Roadshow 2024

สถาปนิก’68 ทบทวนทิศทาง Past Present Perfect

แบรนด์ผลิตภัณฑ์ก่อสร้างชั้นนำกว่า 600 บริษัท ตบเท้าร่วมงานสถาปนิก’67 พร้อมโชว์นวัตกรรมสุดล้ำ
Popular

ความรู้เกี่ยวกับความปลอดภัยในการทำงาน

สินค้าส่งออกสำคัญ 10 อันดับแรกของไทย

การส่งกำลังโดยใช้สายพาน

ประเภทสกรูและน็อต อุตสาหกรรม